รายละเอียด
พะติโด่ หมื่อกาโด่ ( ดอยลุง ดอยป้า )
เรียกได้ว่านี่คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความน่ากลัว ความชัน เลเยอร์ภูเขาที่ไม่ซับซ้อน แต่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ได้อย่างลงตัวครับ
พะติโด่ หมื่อกาโด่ มักจะถูกมองข้าม และมีผู้มาพิชิตน้อยมากๆ เพราะด้วยความยาก และความชัน รวมถึงระยะทางที่ค่อนข้างไกลกว่าจะมาถึง
รวมถึงเหตุผลที่คลาสสิคคือ ในช่วงเวลาเดียวกัน มีที่อื่น ที่สวยในระดับเท่ากัน เดินง่ายกว่า และการเดินทางไปถึงไม่ซับซ้อนเท่า
ทำให้พะติโด่ หมื่อกาโด่ มักจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ของลิสต์การเดินทางของหลายๆ ท่าน
แต่สำหรับสายพิชิต และนักผจญภัยทั้งหลาย ถ้าให้คัมอร ตัดเกรดสถานที่ซักที่นึง ชื่อพะติโด่ หมื่อกาโด่ ยังติดตาตรึงใจทีมงานคัมอรอยู่เสมอ
วิวพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก ที่สวยงามทั้งสองวัน
เลเยอร์ภูเขารอบตัวที่มองเห็นได้ทั่ว
ทิศตะวันออก มองไปถึงดอยซอแควโจ๊ะ กูมอเล และยอดขุนแม่นาย จังหวัดเชียงใหม่
ทิศตะวันตก มองไปถึงเทือกเลอเปอเฮอ ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
และถ้าโชคดี อากาศไม่เลวร้ายมาก สุดขอบฟ้าทางทิศเหนือ ท่านก็ยังมองเห็น ดอยหลวงเชียงดาว ที่แทบเคียงข้างกับดอยอินทนนท์ ถ้ามองจากพะติโด่ในยามเย็น
ทะเลหมอก ดอกเอนอ้า ทุ่งหญ้าสวยงาม แทบจะเป็นสามัญสุดๆ กับสถานที่แห่งนี้
และยังมีพะติโด่ หมื่อกาโด่ ดอยลุง ดอยป้า สองแคมป์ให้เราพิชิตอีก
สักครั้งนึงครับ อยากให้มาลอง
แผนการเดินทาง
21 พฤศจิกายน 2567
20.00 น. ออกเดินทางจากบิ๊กซี สะพานควาย มุ่งหน้า แม่ฮ่องสอนครับ
22 พฤศจิกายน 2567 ( L-D )
ฟ้าสว่างคาตา แต่ยังไม่ถึงจุดเดิน แวะยืดเส้นยืดสาย กินข้าวเช้าอิสระกันที่อำเภอแม่สะเรียงกันก่อนครับ ก่อจะเดินทางต่อไปที่อำเภอขุนยวม วนไปแม่อูคอ อันนี้ได้ลงรถกันจริงๆ จังละ ก่อนจะแบกกระเป๋าสัมภาระ ขึ้นรถ 4WD เข้าไปที่จุดเริ่มเดิน อันนี้จะขึ้นพะติโด่ หรือหมื่อกาโด่ ก็ขึ้นอยู่กับการทำเวลาในการเดินทางนี่แหละครับ แต่หลักๆ ผมขอยึดแผนที่ผมจะขึ้นหมื่อกาโด่ก่อนนะครับ เพราะดอยป้านี่ต่ำกว่า และขึ้นไม่ยากกว่า
เราจะไปจัดเสบียงและกระเป๋ากันจริงๆ จังๆ ไฟนอลอีกทีที่หมู่บ้าน เพราะต้องฝากของให้ลูกหาบที่หมู่บ้านตรงนี้ ก่อนนั่งรถไปที่จุดเริ่มเดิน ไม่เกิน 30 นาที และเริ่มเดินเลยครับ
ระยะทางเดินจากป่าข้าวโพด จะขึ้นไปตามสันเขาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าชันตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเดินเลย อาจจะมีผจญภัยไต่แง่งหินกันบ้าง แต่ไม่ยากจนเกินความพยายามเราแน่นอน และจะไปถึงแคมป์หมื่อกาโด่ในช่วงประมาณบ่ายสามเศษๆ ไม่เกินนี้ สิริระยะเวลารวมที่ 5-7 ชั่วโมง แล้วแต่ว่าเราเดินช้าเดินเร็ว แคมป์วันแรกนี้แนะนำเป็นเต็นท์นะครับ เพราะต้นไม้ที่ผูกน้อย แต่ถามว่ามีที่ผูกไหม ก็พอมีบ้าง แต่เต็นท์จะช่วยบรรเทาความหนาวเราได้เยอะ ตกเย็นหน่อยๆ ใครมีแรงอยากขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกด้านบน สามารถวิ่งขึ้นไปได้ ไม่ไกลมาก หรือใครจะชื่นชมอยู่บริเวณใกล้ๆ แคมป์ก็ทำได้ครับ วิวสวยแต่อาจจะต่ำกว่าหน่อย
พระอาทิตย์ตกแล้วเข้านอนได้เลยครับ เดี๋ยวเที่ยงคืนสต๊าฟจะปลุกมาทานข้าวเย็น ไม่ใช่อะไรหรอก ทีละพัดนอนเป็นตะคริวไม่ยอมขึ้นมาสักที กับข้าวอยู่ในกระเป๋าทั้งหมดเลย
23 พฤศจิกายน 2567 ( B-L-D )
เช้านี้ ถ้าใครสละสิทธิไม่อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขา ก็โผล่หัวมาจากเต็นท์ดูนิดๆ หน่อยๆ ทำฟอร์มดูก็ได้ครับ ก่อนจะถูกปลุกมาอีกทีเพื่อทานข้าวเช้า พร้อมห่อข้าวกลางวัน เก็บเต็นท์ เก็บสภาพทุกอย่าง เดินต่อไป
ถารกิจวันนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-7 ชั่วโมงเหมือนเดิม เดินขึ้นไปถ่ายรุปหมู่ที่จุดชมวิว และเดินลงไปที่หุบหมาถอย อันนี้อันตรายที่สุดในทริปละครับ ระวังลื่นและตกหลุมธรณีสูบลงไปนะครับ ค่อยๆ เดิน
ทางก็ขึ้นสุดลงสุดตามสันเขาไปเรื่อยๆ นอกจากต้องเหนื่อยกับทางแล้ว ยังต้องหมดแรงไปกับอากาศร้อนอีก ร้อนชิบหาย ร้อนเหมือนตกนรก ร้อนไม่มีที่สิ้นสุด ร้อนๆๆๆๆๆ ไปจนถึงแคมป์พะติโด่ อ้อ อันนี้ร่มไม้เยอะครับ ตกกลางคืนหนาวแน่นอน
ที่แคมป์พะติโด่ จะกางได้ทั้งเต็นท์และเปล เป็นเนินสันเขาที่ต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น กลางคืนหนาวแน่นอน หลังจากกางเต็นท์กางเปลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครยังไม่หมดแรง จะพาไปซัมมิทยอดพะติโด่ แนะนำให้ขึ้นตั้งแต่เย็นเลยนะครับ ตอนเช้าคงไปไม่ไหว มืด และชันด้วย อีกอย่างโครตไกล
ดูแสงเย็นแล้ว ปลอดภัยๆ นะครับ กลับมาทานข้าวเย็น แล้วเข้านอนกัน วันนี้เหนื่อยเนาะ
24 พฤศจิกายน 2567 ( B-L )
ตื่นเช้า รับแสงทะเลหมอก แล้วเก็บแคมป์ เดินกลับ ลงอีกทาง ห้ามกลับทางเดิมนะ ระยะทางลงเร็วสุดประมาณ 2 ชั่วโมง หรือถ้าเอาปกติๆ ก็ประมาณ 3 ชั่วโมงไม่เกิน 4 ครับ
รถจะมารอรับที่ท้ายไร่กะหล่ำ นั่งรถปุเลงๆ ออกมาจนถึงรถตู้ อาบน้ำแต่งตัว เกียวตัวเดินทางกลับกันครับ
25 พฤศจิกายน 2567
คาดว่าจะถึงกทม. เวลาประมาณ ตีสี่ครึ่ง ครับ
(B – Breakfast, L – Lunch, D – Dinner)
ค่าใช้จ่ายนี้รวม
ค่ารถตู้เดินทางจากกทม.
✅ รถ4WD
✅ ค่าเข้าสถานที่
✅ ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง
✅ ลูกหาบของกองกลาง
✅ ประกันการเดินทาง
✅ เต็นท์+ถุงนอน
✅ อาหาร 7 มื้อ