รายละเอียด
ภูเข้ น้ำตกรางจาล – แห่งทิวเขาหลวงพระบาง
อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน 🌾 🌾
นอกจากจะเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสวยงามของธรรมชาติ
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สลับทับซ้อน โดยมีชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่ในหุบ กระจัดกระจายตามภูมิประเทศที่มีที่ราบจำกัด
ก่อเกิดต้นน้ำที่สำคัญในประเทศไทย ที่ตั้งตามชื่อของจังหวัด🌿 🌿
ก่อนจะไหลรวมกัน จนเรียกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา
เส้นเลือดใหญ่ที่สำคัญของประเทศไทย 🌳 🌳
ด้วยความสูงของภูเข้ 2,079 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ซึ่งในประเทศไทยนั้น มีไม่กี่ที่ ที่แตะความสูงได้ขนาดนี้ 🌲 🌳 🍀
จึงได้รับอันดับภูเขาที่สูงที่สุดในไทย อันดับ 6
ความชุ่มชื้นของทิวเขาหลวงพระบาง
1 ใน 14 เทือกเขาที่สำคัญของไทย และเป็นชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว
โดยมีหลักเขตแดนหลักที่ 3-37 ตั้งอยู่บนยอด
สภาพธรรมชาติที่มีความแตกต่างกันระหว่างท้องทุ่งหญ้ากับผืนป่าดิบเขาที่ยังสมบูรณ์
ผสมผสานไปกับความงดงามของทิวเขาสลับซับซ้อนทั้งในเขตพื้นที่ประเทศไทย และเพื่อนบ้าน
วิวทุ่งหญ้าที่สวยงาม ผสานกับกล้วยไม้ป่า ก่วมแดง ทุกอย่างช่างลงตัว
🌼 ที่นี่ “ภูเข้” จังหวัดน่าน 🌼
ซึ่งตลอดเส้นทาง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ที่แปลกตา และมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นจริงๆ
“ น้ำตกรางจาล ”
มีความสูงกว่า 50 เมตร ลักษณะเป็นร่องน้ำแล้วตกลงในแอ่งเหมือนจานจึงเรียกว่า น้ำตกรางจาน
ต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำน่าน ตั้งอยู่ที่ความสูงมากกว่า 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล สวยงาม
และที่สำคัญ ไปไม่ยากเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ภูเข้ อาจจะดูลึกลับและน่าค้นหา
แต่ถ้าคุณกลัวทาก ผมแนะนำว่าให้ผ่านที่นี่ไปได้เลย
เพราะทุกวินาทีที่คุณเดินเข้าผืนป่าแห่งนี้
ทากจะคอยต้อนรับคุณอยู่ทุกที่เช่นกัน
ผมเตือนแล้วนะครับ
แผนการเดินทาง
31 พฤษภาคม 2567
20.00 น. รวมพลที่บิ๊กซีสะพานควาย ถ้าพร้อมแล้ว เดินทางไปพร้อมกันครับ จุดหมายปลายทางบ่อเกลือ จังหวัดน่านครับ
1 มิถุนายน 2567 (B-L-D)
ตื่นเช้า ล้างหน้าล้างตา แวะรับประทานอาหารเช้าที่ตัวเมืองบ่อเกลือ หรือบริเวณใกล้เคียง ถ้าเวลาดีมีเวลาแวะชมวิวที่หมู่บ้านสะปันได้จะจัดให้นอกเหนือโปรแกรมนะครับ ก่อนจะไปรวมตัวกันที่จุดนับพบบ้านสะไล อาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมตัวพร้อมเดินกันที่จุดนี้นะครับ สัมภาระต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ สามารถฝากไว้ที่รถตู้ได้ ขากลับค่อยเอามาใช้ครับ
เวลาไม่เกิน 10 โมง นั่งรถ 4WD ไปต่อที่จุดเริ่มเดิน บ้านสะไลเหนือ ระยะทางช่วงแรกก่อนถึงจุดพักทานข้าวเที่ยง จะเป็นทางเดินไร่ข้าวโพดท้ายหมู่บ้าน ทางชันยาวๆ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกเดิน ก่อนจะไต่ขึ้นสันเขาไปยังจุดพักหัวน้ำตกรางจาล
แวะพักที่จุดพักน้ำตกรางจาล ก่อนจะวางกระเป๋า คว้ากล้องลงไปถ่ายน้ำตกรางจาล ซึ่งไม่ไกลมากจากจุดที่เราวางกระเป๋าครับ ถ่ายรูปคู่กับน้ำตกรางจาลที่มีความสูงประมาณ 50 เมตรจนหนำใจ และกลับมาที่จุดวางกระเป๋าที่เดิม เดินไล่สันเขาไปยังจุดนั่งพักกินข้าวเที่ยง ก็จะใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีครับ ก่อนพักขา นั่งทานข้าว พร้อมเติมน้ำในจุดนี้ เพราะจุดที่เราจะแคมป์กันจะเป็นจุดที่ไม่มีน้ำในวันแรก แต่ก็ไม่ไกลมากครับ ใช้เวลาไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้นเอง
ถึงแคมป์วันแรกน่าจะช่วงไม่เกินบ่ายสี่โมง ไม่อยากให้หนักมากครับเพราะเราเดินทางกันมาไกล ช่วยกันกางเต็นท์ เก็บข้าวของ ผ่อนคลายอิริยาบถ ก่อนจะออกมาชมวิวบริเวณไร่ข้าวโพดกลางหุบเขา ชมแสงเย็น และเมฆหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งตามแนวสันเขาจนถึงเย็น ก่อนจะกลับมาร่วมวงสนทนารับประทานอาหาร และทำวัตรเย็น เข้านอนกันตั้งแต่สองทุ่มครับ
2 มิถุนายน 2567 (B-L-D)
ตื่นเช้ามารับอรุณ โดยไม่มีอาการแฮงค์ใดๆ ทั้งสิ้น ใครตื่นเช้า จะไปชมบรรยากาศตอนเช้าก็ไม่ว่ากันครับ ก่อนจะกลับมาทานข้าวเช้าด้วยกันที่แคมป์ และเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทางกันต่อไป ในวันนี้เราจะไปต่อกันที่ลานแคมป์ตีนภูเข้ ในทริปทั้งหมด วันนี้จะเป็นวันที่โหดร้ายและเหนื่อยที่สุดละครับ เดินไกล และยาวนานตั้งแต่เช้าจนเกือบเย็นๆ เริ่มจากดันไปลานเลี้ยงวัวของชาวบ้าน และไต่ตามขอบของตีนดอยภูเข้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเดินไม่ยากแต่ทากเยอะ จนถึงเยอะมาก ถ้าใครไม่กลัวก็ไม่ได้มีปัญหามาก แต่ก็คงติดอยู่ที่ว่าคนไม่กลัวก็ยังขยาดในระดับนึง เชื่อผมเถอะ
ก่อนเราจะมาถึงแคมป์ตีนภูเข้ไม่เกินบ่ายสอง ช่วยกันกางแค้มป์ เก็บอุปกรณ์ นั่งพักสักครู่ก่อนจะดันเนินขึ้นไปซัมมิทภูเขาที่สูงอันดับ 6 ของประเทศไทย เดินตัวเปล่า พกกล้องและของกิน ขึ้นไปชมวิวทิวเขาหลวงพระบาง ซึ่งระหว่าทางก็จะมีดอกไม้ป่า กล้วยไม้ต่างๆ ที่สวยสดตลอดปี และบริเวณทิวเขาฝั่งลาวก็จะเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา ให้เราได้ชมความงามของมัน
ใช้เวลาอยู่บนยอดสักพัก ไม่เกินสี่โมงครึ่ง ค่อยไต่ลงมาตามทางเดิม ใครลงก่อนอาจจะไม่ลื่น ส่วนใครลงทีหลังก็จะลื่นหน่อย ลงมาล้างเนื้อล้างตัว เพราะวันนี้แคมป์เราติดลำธารเลยครับ ก่อนจะมารวมตัวกันทานข้าวเย็น สังสรรค์ ทำวัตรเย็น แล้วเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่มครับ
3 มิถุนายน 2567 (B-L)
ตื่นเช้ามา ภาวนาว่าทุกคนยังมีแรงเดินกลับ ก่อนอื่นเติมพลังงานตอนเช้า และเก็บกระเป๋า เตรียมตัวเดินทางกลับกันครับ
ซึ่งขามาเรามาทางไหน ขากลับเราก็จะกลับทางนั้นครับ ยาวๆ ไป จนถึงหฒุ่บ้านกันเลย ลุยดงทากกันอีกรอบครับ
ถึงท้ายหมู่บ้านแล้ว นั่งรถ 4WD กลับไปที่หน้าหมุ่บ้านสะไล แวะอาบน้ำ และเตรียมตัวเดินทางกลับ กทม. กันครับ
ขากลับถ้าทำเวลาดี ก็จะแวะเที่ยวให้อีกที่นึง ขอดูก่อนนะครับว่าเลทมากไหม และมุ่งหน้ากลับ กทม. กันครับ
4 มิถุนายน 2567
ถึงกทม. ไม่เกินตีสี่ครึ่งครับผม
(B – Breakfast, L – Lunch, D – Dinner)
ค่าใช้จ่ายนี้รวม
ค่าเดินทางโดยรถตู้
ค่าธรรมเนียมเข้าสถานที่
ประกันการเดินทาง
ค่ารถ 4WD
ค่าบำรุงสถานที่
อาหาร 8 มื้อ
ค่าลูกหาบของกองกลางและคนนำทาง